เริ่มต้นจากการวิจัยผลมังคุด
เมื่อปี 2520 คณะวิจัยที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งประกอบด้วย ดร.วิลาวัลย์ มหาบุษราคัม ดร.เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดร.อัมไพ ปั้นทอง รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์สหวิชาการอีกหลายท่าน เร่ิมทำการศึกษาสารธรรมชาติในผลมังคุด ด้วยการสกัดสารบริสุทธิ์แล้วทำการทดสอบประดยชน์ในทางการแพทย์ด้านต่างๆ ก่อนจะสรุปได้ว่า สารในมังคุดที่มีคุณสมบัติ ในการสร้างเสริมสสุขภาพคือ สารกลุ่ม Xanthones ซึ่งในมังคุดมีสารกลุ่ม Xanthones นี้อยู่กว่า 40 ชนิด แต่ที่เพียงบางชนิดเท่านั้นที่มีประโยชน์ บางชนิดอาจมีผลข้างเคียงได้ และชนิดที่มีประโยชน์ หากใช้น้อยเกิดไปก็จะไม่แสดงสรรพคุณ แต่ถ้าใช้มากไปก็อาจจะเกิดโทษได้ ดังนั้นการนำ Xanthones ไปใช้ในการเสริมสร้างสุขภาพ จึงจำเป็นต้องใช้ให้ถูกต้อง และใช้ในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น
ผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่องกันของคณะนักวิจัยจากศูนย์วิจัย และพัฒนามังคุดไทย พบ่ว่า Xanthones ที่มีสรรพคุณสูงสุด คือ GM-1 ซึ่ง GM-1 เป็นสารที่ปลอดภัย โดยปลอดภัยกว่าสารที่ให้รสเปรี้ยวในส้มถึง 5 เท่า และมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
- ต้านเชื้อแบคทีเรีย
- ต้านการอักเสบ
- ระงับการปวด และลดอาการแพ้
- ต้านอนุมุลอิสระ ช่วยป้องกัน การเกิดโรคหัวใจ ซึ่งเกิดจาก LDL Cholesterol Oxidation
- ฆ่าเซลล์มะเร็งในเต้านม มะเร็งในเม็ดเลือด มะเร็งในตับ มะเร้งในไต มะเร็งในทางเดินอาหาร และมะเร็งปอด (ในหลอดทดลอง)
- ระงับการเจริญเติมโตของเชื้อวัณโรค (ในหลอดทดลอง)
- ระงับการขยายตัวของเชื้อ HIV (ในหลอดทดลอง)
- เพิ่มความสามารถของเม็ดเลือดขาวในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม และเชื้อแบตทีเรีย (Phagocytic activity)
- ระงับการเสื่อมสลายของกระดูกอ่อน และสร้างมวลกระดูก
พัฒนาเป็นอาหารที่สร้างความสมดุลของภูมิคุ้มกัน
แต่ในการพัฒนา GM-1 ให้เป็นยาซึ่งจะต้องใช้เวลานับสิบปี และงบประมาณเป็นพันล้านในการดำเนินการตามกฏเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก ดังนั้นคณะนักวิจัย Operation bim จากศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย ได้ริเริ่มแนวทางใหม่ ด้วยการใช้อาหารสร้างภูมิคุ้มกันให้สมดุลเพื่อป้องการโรคภัย ซึ่งสามารถนำสาร GM-1 อันทรงคุณค่านี้ ใช้ให้เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่อยู่ในสูตรผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้ โดยมีองค์ประกอบของ GM-1 อยู่ และพบว่าสุตรอาหารที่ได้จากมังคุดจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเป็นทวีคูณ เมื่อเสริมฤทธิ์ด้วยสารสกัดจากธัญพืชและผลไม้ เช่น ถั่วเหลือง งาดำ ฝรั่ง และบัวบก จากการศึกษาอย่างต่อเนื่อง พบว่าสุตรอาหารนี้ มีประสิทธิภาพสูงในการปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล จึงได้ตั้งชื่อสุตรอาหารนี้ว่า BIM ย่อมาจาก Balancing Immunity (ภูมิคุ้มกันที่สมดุล) แล้วขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกับคณะกรรมการอาหารและยา และคณะนักวิจัยฯ นำเสนอผลงานวิจัยนี้ในที่ประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์ตามโอกาศต่าง๐ ที่ได้รับเชิญ ซึ่งมีการบรรยายถึงข้อมูลผลการวิจัยที่กระทำต่อเนื่องมากกว่า 3 ปี และรายงานผลการทดสอบผลิตภัณฑ์กับอาสาสมัครผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ
ได้ทำการทดสอบผลิตภัณฑ์ Operation bim ต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้สามารถอธิบายประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ Operation bim ในการสร้างสมดุลของภูมิคุ้มกันตามหลักภูมิคุ้มกันวิทยาล่าสุด
- Th1 กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันจัดการกับเชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส และมะเร็งได้ดีขึ้น
- Th2 กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันจัดการกับสารก่อภูมิแพ้ และหนอนพยาธิได้ดีขึ้น
- Th17 กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันจัดการกับสิ่งแปลกปลอมทั้งหลายที่เหลือจากการจัดการของ Th1 และ Th2 Th1 , Th2 และ Th17 เมื่อมีมากเกินไปจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันมากเกินไป จนเกิดอาการแพ้ภูมิตัวเอง
- Treg กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันที่มากเกินไป กลับสุ่สภาวะสมดุล
จากผลการทดสอบผลิตภัณฑ์ Operation BIM (ปฏิบัติการ พบว่า ผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดมีผลต่อการปรับ Th1, Th2 , Th17 และ Treg ในลักษณะที่แตกต่งกัน นักวิจัยจึงอธิบายได้ว่า ผู้บริโภคที่มีปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น ติดเชื้อโรค มีเนื้องอกในมดลูก ถุงน้ำในรังไข่ เป็นมะเร็ง มีภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ กระเพาะ/ลำไส้อักเสบเรื้อรัง กรดไหลย้อน ข้อเข่าเสื่อ/ อักเสบ ผื่นคันตามผิวหนัง สะเก็ตเงิน ตับอักเสบ ตับแข็ง ไตวาย ไทรอยด์เป็นพิษ หอบหืด สันนิบาต เบาหวาน ไขมันอุดตันในเส้นเลือด วิงเวียนศรีษะ ไมเกรน เก๊าท์ ฯ ต่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ Operation bim เนื่องจขาก Operation bim สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้สมดุลในกลุ่มผู้บริโภคเหล่านี้นั่นเอง
อ้างอิงจาก
|